
“คนตายขวัญหาย ต้องเรียกขวัญ” เป็นความเชื่อสมัยโบราณ ที่ก่อให้เกิดพิธีการจัดงานศพแบบยุคแรกอุษาคเนย์ขึ้นมา ซึ่งในปัจจุบันการจัดงานศพแบบนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว เพราะด้วยวิทยาศาสตร์และความทันสมัยของเทคโนโลยี ทำให้ความเชื่อดังกล่าวลดน้อยลงไป ประกอบกับมีการนำเอาวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามา จึงทำให้งานศพในปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปจากยุคโบราณอย่างสิ้นเชิง โดยความเชื่อเรื่องคนตายขวัญหายเป็นอย่างไร เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจกัน
ยาวไป เลือกอ่านหัวข้อที่ต้องการ
คนตายเพราะขวัญหาย
สมัยโบราณมีความเชื่อกันว่า คนตาย เกิดจากการที่ขวัญหาย หรือขวัญออกจากร่างและกลับเข้าร่างไม่ถูก หรืออาจไปอยู่ที่ไหนสักแห่งและกำลังหาหนทางเพื่อกลับเข้าสู่ร่างของตน ดังนั้นคนโบราณจึงคิดพิธีกรรมการเรียกขวัญขึ้นมา เพื่อชักนำให้ขวัญกลับคืนสู่ร่างของคนตายและฟื้นขึ้นมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่ถ้าหลายวันแล้วคนตายยังไม่ฟื้น ก็จะทำพิธีการฝังศพต่อไป เพื่อเป็นการส่งให้ขวัญของคนตายไปสู่ภพภูมิที่ดี หรือที่เรียกกันว่าเมืองฟ้านั่นเอง นิพพานกิฟ ของชำร่วยงานศพ ราคาถูก
พิธีทำขวัญ เรียกขวัญของคนตาย
พิธีเรียกขวัญคนตาย จะทำขึ้นหลังจากมีคนตาย โดยเชื่อว่าถ้าทำพิธีเรียกขวัญแล้ว จะทำให้ขวัญของคนตายที่หายไป กลับมาเข้าร่างได้ถูก โดยการเรียกขวัญจะมีผู้หญิงเป็นแม่งานทั้งหมด และคนที่มาร่วมพิธีจะต้องแต่งตัวด้วยสีสันฉูดฉาด รวมถึงมีการร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุก โดยจะไม่มีการแต่งกายด้วยชุดสีดำและแสดงความโศกเศร้าเหมือนในยุคปัจจุบันแต่อย่างใด ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นเหมือนกับงานเฉลิมฉลอง รื่นเริงเลยทีเดียว
โดยการทำพิธีเรียกขวัญนี้ ไม่แน่ใจว่ามีมาตั้งแต่ยุคไหน แต่มีการพบหลักฐานเป็นลายสลักบนขวานสำริด จึงคาดว่าการเรียกขวัญคนตาย น่าจะมีมาตั้งแต่ยุค 2500 ปีมาแล้ว ซึ่งก็มีความเก่าแก่ยาวนานมากทีเดียว
พิธีส่งขวัญ ส่งวิญญาณขึ้นเมืองฟ้า
หลังจากทำพิธีเรียกขวัญแล้วก็จะมีพิธีส่งขวัญตามมา ซึ่งจะทำขึ้นหลังจากที่ทุกคนแน่ใจแล้วว่าคนตายคงไม่ฟื้นขึ้นมาอีก เพราะขวัญได้หายไปแล้วตลอดกาล จึงได้มีการทำพิธีส่งขวัญขึ้นมา เพื่อส่งขวัญของคนตายให้ไปสู่โลกหลังความตายหรือเมืองฟ้าที่มีบรรพชนอยู่ โดยเชื่อว่าหากไม่ทำพิธีดังกล่าว ขวัญที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนจะไม่สามารถไปสู่โลกหลังความตายอย่างสงบได้
โดยพิธีการส่งขวัญคนตาย จะต้องมีการบอกเล่าประวัติของคนตาย ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิไปตลอดจนตาย ซึ่งจะต้องบอกถึงสาเหตุที่ตายด้วย จากนั้นก็จะมีพิธีการชวนผีขวัญกินข้าวปลาอาหาร ด้วยความเชื่อที่ว่าต้องให้ผีขวัญกินอาหารให้อิ่มก่อนจะเดินทางไกลเพื่อไปสู่โลกหลังความตายนั่นเอง ส่วนการส่งขวัญคนตายให้เดินทางไปเมืองฟ้าหรือโลกหลังความตายก็จะมีหลายวิธี เช่น ส่งไปทางน้ำโดยเรือ หรือให้หมานำทาง เป็นต้น
การฝังศพ หลังเสร็จสิ้นพิธีส่งขวัญ
เมื่อทำพิธีการเรียกขวัญ-ส่งขวัญ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ร่างกายของคนตายที่เริ่มเน่าเปื่อย ก็จะถูกนำไปฝังไว้บริเวณใต้ถุนเรือนหรือลานกลางบ้าน โดยคนสมัยโบราณเชื่อว่าบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงเหมาะกับการฝังศพคนตายที่สุด รวมถึงคนตายก็จะได้ช่วยปกปักษ์คุ้มครองคนในบ้าน และลูกหลานต่อไปด้วย ซึ่งการฝังศพคนตายของคนในยุคนี้จะทำขึ้น 2 ครั้ง ได้แก่
1. การฝังศพครั้งแรก
ด้วยการนำศพคนตายลงไปฝังไว้พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่เป็นของส่วนตัวของคนตาย เพราะยังมีความเชื่ออยู่ว่าคนตายยังอาจจะฟื้นขึ้นมาอีก และหากฟื้นก็จะได้นำข้าวของเครื่องใช้เหล่านั้นมาใช้ได้นั่นเอง
2. การฝังศพครั้งที่สอง
หลังจากที่ฝังศพหลายวันแล้ว ตามระยะเวลาที่คาดว่าเนื้อหนังของคนตายน่าจะเน่าผุจนเหลือแต่กระดูก ก็จะทำการขุดบริเวณที่ฝังศพไว้ แล้วนำกระดูกของคนตายมาใส่ในภาชนะดินเผา ซึ่งจะนำกระดูกที่ได้มานี้ไปทำพิธีและฝังอีกครั้ง
ขุดค้นพบโครงกระดูกหัวหน้าเผ่าพันธุ์
ทั้งนี้มีการขุดค้นพบโครงกระดูกของหัวหน้าเผ่าพันธุ์ในยุค 2500 ปีมาแล้ว ซึ่งอยู่บริเวณใต้ถุนเรือนหรือลานกลางบ้าน และมีข้าวของเครื่องใช้โบราณจำนวนมาก จึงเป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงการฝังศพในยุคดังกล่าวได้เป็นอย่างดี และยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า บริเวณที่ฝังศพนี้น่าจะนิยมใช้ฝังศพของหมอผีหรือหัวหน้าเผ่าพันธุ์เป็นหลัก เนื่องจากข้าวของเครื่องใช้ที่ถูกฝังลงไปด้วยนั้นล้วนเป็นของมีค่า ที่ในยุคนั้นคนที่จะมีสิ่งของเหล่านี้ได้ ต้องเป็นหมอผีหัวหน้าเผ่าพันธุ์เท่านั้น
ในยุคโบราณ เมื่อคนตายจะไม่ทำพิธีศพและฝังหรือเผาทันทีเหมือนในปัจจุบัน เพราะความเชื่อที่ว่าคนตายเพราะขวัญหาย ดังนั้นจึงต้องทำพิธีเรียกขวัญก่อน ซึ่งไม่มีกำหนดแน่นอนว่าต้องทำพิธีกี่วัน ส่วนใหญ่จะทำการเรียกขวัญจนกว่าจะมั่นใจว่าขวัญไม่กลับเข้าร่างแล้ว จึงทำพิธีส่งขวัญไปเมืองฟ้า เพื่อให้ขวัญคนตายได้ไปอยู่กับบรรพชน แล้วจึงฝังศพต่อไป ไฟฉาย ของชำร่วย ราคาส่ง