วัดหลวงพ่อโสธร วัดศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแปดริ้ว ศูนย์รวมใจของชาวพุทธ

วัดหลวงพ่อโสธร พระอารามหลวงที่สำคัญในประเทศไทยมีอยู่ด้วยกันหลายแห่ง ซึ่งหากจะพูดถึง พระอารามหลวงที่มีความสำคัญในภาคตะวันออก  หนึ่งในนั้นจะต้องนึกถึง วัดหลวงพ่อโสธร หรือ วัดโสธรวรารามวรวิหาร

โดย วัดหลวงพ่อโสธร ฉะเชิงเทรา เป็นวัดซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธากันอย่างมากของชาวจังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดใกล้เคียง

วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับพระอารามหลวงที่มีความสำคัญอย่างมากแห่งนี้กัน โดยวัดนี้มีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจอย่างมาก

อีกทั้งยังเป็นวัดที่มีความสวยงามทางศิลปะและสถาปัตยกรรมอย่างสูงที่หากใครมีโอกาสก็ควรไปเยือนกันให้ได้สักครั้ง

นิพพานกิฟ ของชำร่วย ร้านของชำร่วยออนไลน์ สเปรย์ แอลกอฮอล์ ของชําร่วย จัดส่งทั่วไทย ส่งไว ส่งด่วน snack box งานศพ ราคาถูก คุ้มค่า

 

ประวัติ วัดหลวงพ่อโสธร

ประวัติความเป็นมาของวัดหลวงพ่อโสธร – วัดหลวงพ่อโสธร หรือ  วัดโสธรวรารามวรวิหาร  เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี โดยมีที่ตั้งอยู่ที่ ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา

ซึ่งที่ตั้งของวัดนั้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง ทำให้มีเรื่องเล่าถึงที่มาของพระพุทธรูปในวัดที่ลอยมาตามน้ำ ซึ่งจะขยายความเรื่องนี้ให้ทราบในเนื้อหาถัดไป

 

วัดหลวงพ่อโสธร เดิมมีชื่อว่า  วัดหงส์ 

 

กล่าวกันว่าเป็นวัดที่สร้างขึ้นมาในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยช่างฝีมือชาวมอญ

ซึ่งเหตุที่มีการเรียกกันว่าวัดหงส์นั้น เนื่องจากแต่เดิมวัดมีเสาสูงที่ปลายเสาเป็นรูปหงส์ตั้งอยู่ที่เป็นจุดสังเกต ทำให้ชาวบ้านเรียกชื่อวัดตามเสาหงส์ดังกล่าว

แต่ต่อมาเสาหงส์นี้ก็ได้ถูกลมพายุใหญ่พัดเอาหงส์ที่อยู่บนยอดหักลงมา ชาวบ้านจึงนำผ้าขึ้นไปผูกไว้ที่บริเวณยอดของเสาธงแทน จึงมีชื่อเรียกวัดนี้ในเวลาต่อมาว่า  วัดเสาธง  แทน วัดหงส์

และเมื่อเวลาผ่านไปลมพายุก็ยังพัดเอาเสาธงดังกล่าวหักลงมาอีกครั้งเป็นสองท่อน วัดนี้จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  วัดเสาธงทอน 

วัดหลวงพ่อโสธร
วัดหลวงพ่อโสธร

 

ในกาลต่อมาได้มีเรื่องเล่าปรากฎว่ามีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ 3 พี่น้องลอยมาจากแม่น้ำปิง ผ่านคลองพระโขนงก่อนที่จะลอยออกสู่แม่น้ำบางปะกง ชาวบ้านที่พบเห็นพระลอยน้ำต่างพากันช่วยกันชักพระขึ้นมาจากน้ำแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งภายหลังจึงได้มีการขนานนามคลองแห่งนั้นว่า คลองชักพระ

พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ได้ลอยทวนน้ำต่อไปยังวัดสัมปทวนในปัจจุบัน ซึ่งชื่อวัดดังกล่าวมาจากการที่ชาวบ้านพบเห็นองค์พระลอยมาตามน้ำจึงพยายามนำเชือกไปผูกองค์พระเอาไว้ เพื่อที่จะชักพระขึ้นมาจากน้ำอีกครั้ง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ วัดนี้จึงมีชื่อเรียกกันว่า สามพระทวน ที่เพี้ยนมาเป็นชื่อวัดสัมปทวนในปัจจุบัน

เมื่อไม่สามารถชักพระขึ้นจากน้ำได้เป็นผลสำเร็จในครั้งที่สอง พระพุทะรูปจึงลอยตามน้ำไปให้ชาวบ้านพบเห็นที่หน้าวัดโสธร และลอยทวนน้ำอยู่บริเวณนั้น

จนกระทั่งพระพุทธรูปองค์ใหญ่สุดได้ลอยไปตามแม่น้ำแม่กลองและผุดขึ้นที่บริเวณบ้านแหลม สมุทรสงคราม ซึ่งชาวบ้านได้พากันชักจูงพระขึ้นจากน้ำได้เป็นผลสำเร็จ จึงได้อัญเชิญไว้ประดิษฐานที่วัดที่มีชื่อเรียกกันต่อมาว่าหลวงพ่อบ้านแหลม

ส่วนองค์น้องเล็กสุดได้ลอยไปผุดที่คลองใกล้วัดบางพลี สมุทรปราการ ชาวบ้านที่นั่นจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐานที่วัดและมีชื่อเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า หลวงพ่อโตบางพลี

ส่วนพระพุทธรูปองค์กลางได้ลอยตามน้ำต่อไปและมาผุดขึ้นที่บริเวณวัดหงส์เดิม ชาวบ้านจึงช่วยกันนำเชือกไปผูกไว้ที่องค์พระเพื่อชักลากองค์พระขึ้นมาจากน้ำ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีผู้รู้คนหนึ่งมาแนะนำว่าตั้งศาลเพียงตาขึ้นมาเพื่อทำพิธีบวงสรวงก่อนจากนั้นค่อยนำสายสิญจน์ไปผูกไว้ที่ข้อมือเพื่อเชิญองค์พระขึ้นมาจากน้ำแทนการใช้เชือก ซึ่งในที่สุดก็สามารถอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นจากน้ำมาได้เป็นผลสำเร็จ

วันที่อัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นจากน้ำขึ้นมาประดิษฐานที่อุโบสถของวัดตรงกับวัน ตรงกับวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 5 ในปี พ.ศ. 2313 ตรงกับช่วงต้นของกรุงธนบุรี จากนั้นชาวบ้านก็พากันถวายนามให้กับพระพุทธรูปองค์นี้ว่า พระโสทร ที่มีความหมายรวมถึงพี่น้องร่วมอุทรซึ่งหมายรวมถึงพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ที่ลอยตามน้ำมาด้วยกันนั่นเอง

ซึ่งในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทำการเปลี่ยนชื่อใหม่จากคำว่า โสทร เป็นโสธร ที่มีความหมายว่าบริสุทธิ์หรือศักดิ์สิทธิ์ และเขียนชื่อตามนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในยุคก่อนที่จะมีการอัญเชิญหลวงพ่อโสธรมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้นั้น ที่ตั้งของวัดเป็นที่ที่อยู่ค่อนข้างห่างไกลชุมชน การเดินทางมาวัดทำได้ยากเนื่องจากทางเดินเป็นป่ารกเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อมีการอัญเชิญหลวงพ่อโสธรมาประดิษฐานที่วัดแล้ว ก็มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเดินทางมากราบไหว้สักการะหลวงพ่อผ่านทางเรือที่มีความสะดวกสบายกว่ามาก

 

อีกทั้งยังมีเสียงเล่าลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรว่า ถ้าหากมีการขอพรจากหลวงพ่อให้ค้าขายดี เงินทองไหลมาเทมา ก็จะได้ผลตามที่ขอพรนั้นทุกประการอย่างน่าอัศจรรย์

 

ดังนั้นผู้คนที่มาสักการะหลวงพ่อจึงมีมากันอย่างไม่ขาด คนที่มาทางเรือก็วักน้ำที่แม่น้ำบริเวณท่าวัดขึ้นมาล้างหน้า ลูบหน้า ประพรมสินค้าในเรือ ประหนึ่งเป็นน้ำมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจในการทำมาหากินได้เป็นอย่างดี

ในส่วนขององค์พระนั้น เดิมหลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่หล่อด้วยสำริดที่มีความสวยงามมาก ทำให้พระสงฆ์ในวัดเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อองค์พระ จึงได้มีการนำปูนมาพอกหุ้มองค์เดิมไว้เพื่อไม่ให้เป็นที่สะดุดตาแก่ผู้มีจิตใจใฝ่ทางโลภ

 ดังนั้นในปัจจุบันนี้ องค์หลวงพ่อโสธรจึงเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นที่มีหน้าตักกว้าง 3 ศอก 5 นิ้วหรือประมาณ 165 เซนติเมตร องค์พระมีความสูง 198 เซนติเมตร 

วัดหลวงพ่อโสธรนั้นเดิมเป็นวัดราษฎร์ ที่สร้างขึ้นในยุคกรุงศรีอยุธยาสมัยเดียวกับวัดหลวงพ่อบ้านแหลม สมุทรสงคราม จนกระทั่งถึงยุคสมัยรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ยกให้วัดหลวงพ่อโสธรขึ้นเป็นพระอารามหลวงและพระราชทานชื่อใหม่ว่า วัดโสธรวรารามวรวิหาร ดังที่รู้จักกันในปัจจุบัน

วัดหลวงพ่อโสธร ภาษาอังกฤษ, วัดโสธรวรารามวรวิหาร ภาษาอังกฤษ Wat Sothornwararam woravihan

 

การสร้างอุโบสถของวัดหลวงพ่อโสธร

วัดหลวงพ่อโสธรเป็นวัดที่มีการก่อสร้างมานานตั้งแต่สมัยโบราณ อุโบสถเดิมจึงเก่าแก่และชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา อีกทั้งยังมีขนาดเล็กค่อนข้างคับแคบ

โดยเมื่อปี พ.ศ. 2509 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดและได้มีพระราชปรารภเรื่องความคับแคบของพระอุโบสถเดิมนี้

ดังนั้น ทางหลวงพ่อเจียม เจ้าอาวาสวัดในสมัยนั้นพร้อมด้วยคณะกรรมการวัดและชาวเมืองจึงได้ทำการรวบรวมเงินบริจาคเพื่อทำการก่อสร้าง ซึ่งกล่าวได้ว่าการสร้างพระอุโบสถใหม่ของวัดหลวงพ่อโสธรสำเร็จได้ด้วยเงินบริจาคจากประชาชนที่มีความศรัทธาทั้งหมดโดยมิได้รบกวนงบประมาณของแผ่นดินมาใช้ในการก่อสร้างเลย

ทั้งนี้รัชกาลที่ 9 ได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จมาเป็นองค์ประธานในการสร้างพร้อมกับทรงรับหน้าที่ในการดูแลงานสร้างพระอุโบสถใหม่นี้ด้วยซึ่งถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงยิ่ง

และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชก็ได้เสด็จมาประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ในปี พ.ศ. 2531 ด้วยพระองค์เองในช่วงเวลาที่เริ่มก่อสร้างอีกด้วย

การก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ใช้เทคนิคการก่อสร้างแบบวิศวกรรมสมัยใหม่ที่เป็นการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ครอบพระอุโบสถหลังเดิม

ซึ่งข้อจำกัดที่สำคัญและท้าทายอย่างยิ่งในการก่อสร้าง ก็คือ จะต้องไม่มีการเคลื่อนย้ายองค์หลวงพ่อพุทธโสธรพร้อมด้วยพระพุทธรูปทั้ง 18 องค์ที่อยู่รายล้อมแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายแนวราบหรือยกขึ้นจากพื้นก็ตาม แต่ทั้งหมดนี้ก็ทำการก่อสร้างสำเร็จไปได้ด้วยดี

พระอุโบสถหลังใหม่นี้เป็นศิลปะแบบไทยประยุกต์และร่วมสมัย ผนังภายนอกปูด้วยหินอ่อนจากเมืองคาร์ราร่า ประเทศอิตาลี ตัวพระอุโบสถมีลักษณะเป็นอาคารที่มีหลังคาแบบจตุรมุขอย่างปราสาทไทย มีความกว้าง 45.5 เมตร ยาว 123.5 เมตร มีการประกอบเครื่องยอดชนิดยอดมณฑปทรงไทย

ตัวอาคารมีการเชื่อมต่อกันด้วยวิหารทั้งด้านหน้าและด้านหลัง บริเวณตรงกลางเป็นยอดมณฑปสูง 85 เมตร เป็นรูปฉัตร 5ชั้นที่มียอดที่ทำด้วยทองคำ 77 กิโลกรัม ที่ทำให้มีความสวยงามและโดดเด่นอย่างมาก โดยยอดมณฑปทองคำนี้ รัชกาลที่ 9 ก็ได้เสด็จมาประกอบพิธียกยอดฉัตรด้วยพระองค์เองอีกเช่นเดียวกันในวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539

นอกเหนือจากงานก่อสร้างภายนอกที่มีความสวยงามวิจิตรบรรจงอย่างมากแล้ว ภายในพระอุโบสถเองก็มีความงดงามยิ่งไม่แพ้กัน โดยมีการตกแต่งผนังภายในด้วยภาพเขียนจิตกรรมที่นำโดยศิลปินแห่งชาติคือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ

ที่สร้างสรรค์งานจิตรกรรมด้วยเทคนิคภาพเขียนสีน้ำมันที่เป็นภาพดวงดาวซึ่งตรงกับวันและเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จมายกยอดฉัตรอุโบสถวัดหลวงพ่อโสธรแห่งนี้ ซึ่งก็ตรงกับวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2539

ส่วนผนังโดยรอบก็มีการตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่มีเรื่องราวของดินแดนทิพย์แห่งสีทันดรมหาสมุทร จตุโลกบาล สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พรหมโลก และดวงดาว ที่มีความสวยงามอย่างมาก

 

ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรแห่งวัดโสธรวรารามวรวิหาร

หลวงพ่อโสธรเป็นที่เคารพนับถืออย่างมากทั้งชาวจังหวัดฉะเชิงเทราและทั่วประเทศ โดยชื่อเสียงที่ร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรนั้น ทำให้มีผู้เดินทางมากราบขอพรที่วัดเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน

ไม่รวมถึงการเดินทางมาร่วมงานประจำปีของวัดหลวงพ่อโสธรที่เป็นงานใหญ่ มีผู้มาร่วมงานกันจากทั่วประเทศเลยทีเดียว โดยผู้ที่ศรัทธาในองค์หลวงพ่อโสธรนอกจากจะเป็นชาวไทยแล้ว ก็ยังมีชาวต่างชาติอย่างสิงคโปร์, มาเลเซีย, ไต้หวัน, ฮ่องกง ที่ทราบข่าวถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อต่างก็พากันเดินทางมาที่วัดเพื่อสักการะขอพรจากหลวงพ่อโสธรกันเป็นจำนวนไม่น้อย

ซึ่งเหตุผลที่คนจำนวนมากมีความศรัทธาในองค์หลวงพ่อโสธรนั้น ก็เนื่องมาจากความศักดิ์สิทธิ์ที่มีการร่ำลือมาตั้งแต่ครั้งสมัยโบราณ

เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโสธรนั้น เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยก่อนที่ชาวบ้านประสบกับความทุกข์ยาก ฝนแล้ง ข้าวยากหมากแพง อีกทั้งยังมีโรคระบาดที่เกิดขึ้นมาซ้ำเติมที่ทำให้ผู้คนและสัตว์เลี้ยงล้มตายไปเป็นจำนวนมาก

ชาวบ้านจึงตั้งจิตอธิษฐานขอพรจากหลวงพ่อโสธรให้ช่วยปัดเป่าความทุกข์ยากและขอให้หลวงพ่อคุ้มครองให้ปลอดภัยจากโรคร้าย

จากนั้นก็นำดอกไม้แห้งและขี้ธูปที่จุดถวายหลวงพ่อรวมทั้งหยดน้ำตาเทียนที่ใช้ทำน้ำมนต์เอาไปต้มกิน ปรากฎว่าโรคภัยที่เป็นอยู่นั้นหายเป็นปลิดทิ้ง

จากนั้นก็เริ่มมีเสียงร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อที่ทำให้มีผู้คนหลั่งไหลกันมาที่วัดหลวงพ่อโสธรเพื่อขอพรให้หลวงพ่อช่วยเหลือกันเป็นจำนวนมาก และทำให้มีความนิยมในการขอเอาดอกไม้แห้ง, ขี้ธูปและหยดน้ำตาเทียนกลับไปทำยาเพื่อช่วยบรรเทาจากอาการเจ็บป่วย

นอกเหนือจากเรื่องของการขอความช่วยเหลือให้หายจากอาการเจ็บป่วยแล้ว ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยต่างก็เชื่อมั่นในความศักดิ์สิทธ์ของหลวงพ่อโสธรที่ช่วยในเรื่องของการค้าขาย มีการนำน้ำมนต์จากวัดไปประพรมสินค้า พร้อมกับขอพรจากหลวงพ่อขอให้การค้าขายเป็นไปด้วยดี ซึ่งที่ผ่านมาก็มีผู้สมหวังในเรื่องนี้กันไม่น้อย

ในปัจจุบันนี้ผู้คนจำนวนมากพากันเดินทางมายังวัดหลวงพ่อโสธรเพื่อทำการบนขอพรทั้งในเรื่องของการทำมาค้าขาย, โชคลาภ และขอพรให้หายจากอาการเจ็บป่วย

โดยจะมีการแก้บนด้วยไข่ต้มและละครชาตรี รวมถึงการรำชุดพิเศษ อย่างเช่น รำฉุยฉาย ซึ่งทางวัดมีผู้ให้บริการของแก้บนดังกล่าวนี้ให้อย่างครบครัน ซึ่งใครที่ได้บนขอพรกับหลวงพ่อไว้แล้วต้องการมาแก้บนก็สามารถติดต่อกับผู้ให้บริการของแก้บนที่มีอยู่เป็นจำนวนมากโดยไม่จำเป็นต้องเตรียมมาจากบ้านให้ยุ่งยาก

 

แม้ว่าหลวงพ่อโสธรจะมีความศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถบนขอพรเพื่อให้หลวงพ่อช่วยเหลือได้ แต่กล่าวกันว่ามีอยู่ด้วยกันสองเรื่องที่ห้ามบนขอกับหลวงพ่อ นั่นก็คือ บนไม่ให้ติดเกณฑ์ทหาร และบนขอลูก

 

เนื่องจากมีความเชื่อกันว่า หลวงพ่อชอบให้ลูกหลานเป็นทหาร ดังนั้นหากใครมาบนขอให้ไม่ติดเกณฑ์ทหารจึงไม่ได้ตามประสงค์อย่างแน่นอน

และการบนขอลูกที่หลวงพ่อจะส่งลูกหลานที่เคยเป็นทหารมาให้จึงทำให้ลูกที่เกิดมามีร่างกายไม่สมบูรณ์ นัยว่ามาจากการบาดเจ็บจากการเป็นทหารในชาติที่แล้วนั่นเอง

 

งานประจำปีวัดหลวงพ่อโสธร

เป็นงานสำคัญที่จัดขึ้นปีละ 3 ครั้ง โดยมีกำหนดจัดงานตามวันที่ในปฏิทินจันทรคติ ที่จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ช่วงเวลาก็คือ

1. เดือน 5 จะมีการจัดงานเทศกาลประจำปีวัดหลวงพ่อโสธรเป็นเวลา 3 วัน คือ ตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ จนถึงวันแรม 1 ค่ำเดือน 5 เป็นงานที่จัดขึ้นเนื่องจากเป็นวันคล้ายกับวันที่อัญเชิญหลวงพ่อโสธรขึ้นจากน้ำมาประดิษฐานที่อุโบสถของวัด

2. เดือน 12 จะมีการจัดงานรวมทั้งหมด 5 วันตั้งแต่วันขึ้น 12 ค่ำเดือน 12 จนถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 12 เป็นงานประจำปีที่จัดขึ้นโดยมีที่มาจากงานแก้บนในสมัยก่อน ที่ชาวบ้านได้ขอพรจากหลวงพ่อให้ช่วยปัดเป่าโรคร้ายและขอให้พ้นจากภัยข้าวยากหมากแพง

ซึ่งเมื่อหายป่วยดังที่ขอพร และมีฝนตกโปรยปรายลงมาให้ความชุ่มชื้น ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านจึงมีการจัดงานสมโภชน์ขึ้นที่วัดหลวงพ่อโสธรเพื่อเป็นการแก้บน และมีการยึดถือเอาตามเรื่องนี้มาจัดงานเป็นประเพณีสืบมา

3. เทศกาลตรุษจีน จัดขึ้นเป็นเวลา 3 วัน ตั้งแต่วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 3 จนถึงวันขึ้น 5 ค่ำเดือน 3

งานประจำปีของวัดหลวงพ่อโสธรเป็นงานใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันมาก แต่ละครั้งจะมีผู้เดินทางมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งผู้ที่สนใจจะมาร่วมงานควรวางแผนการเดินทางล่วงหน้า เพื่อให้เดินทางมาร่วมงานได้อย่างราบรื่น

 

บทความที่น่าสนใจ:

ลอยอังคาร วัดหลวงพ่อโสธร

สวดอภิธรรม พิธีสวดพระอภิธรรมศพ ความเป็นมาและความสำคัญ

 

วัดหลวงพ่อโสธร ฉะเชิงเทรา เส้นทาง

การเดินทางมายังวัดหลวงพ่อโสธร – ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า วัดหลวงพ่อโสธรตั้งอยู่ใกล้ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา

ซึ่งการเดินทางมาที่วัดเพื่อกราบขอพรหลวงพ่อโสธรและชมความงามของพระอุโบสถที่มีความวิจิตรบรรจงด้วยงานศิลปะชั้นสูง สามารถทำได้หลายทางดังต่อไปนี้

 

เดินทางโดยรถยนต์

สามารถเดินทางไปยังวัดได้โดยใช้ 3 ช่องทางดังต่อไปนี้

เดินทางออกจากกรุงเทพโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านเส้นทางกรุงเทพ มีนบุรี ฉะเชิงเทรา มีระยะทางในการเดินทาง 75 กิโลเมตร

เดินทางออกจากกรุงเทพโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 3 ผ่านเส้นทางสมุทรปราการ บางปะกง จากนั้นเลี้ยวเข้าใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 314 มีระยะทางในการเดินทาง 100 กิโลเมตร

เดินทางออกจากกรุงเทพโดยใช้ทางหลวงหมายเลข 34 ผ่านเส้นทางบางนาตราด จากนั้นเลี้ยวเข้าใช้ทางหลวงหมายเลข 314 ผ่านเส้นทางบางปะกง ฉะเชิงเทรา มีระยะทางในการเดินทาง 90 กิโลเมตร

 

เดินทางโดยทางรถไฟ

โดยจะมีรถไฟออกจากหัวลำโพงมุ่งหน้าฉะเชิงเทราทุกวัน รอบแรกเริ่มตั้งแต่เวลา 5.55 น. จนถึงเที่ยวสุดท้ายเวลา 18.25 น. มีทั้งหมด 11 เที่ยวต่อวัน ลงสถานีชุมทางฉะเชิงเทรา จากนั้นต่อรถสองแถวประจำทางเพื่อเดินทางต่อไปยังวัดหลวงพ่อโสธร

 

รถตู้

มีรถตู้โดยสารที่จอดอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัย ฝั่ง century ที่มีปลายทางอยู่ที่หน้าวัดหลวงพ่อโสธรเลยทีเดียวโดยไม่ต้องต่อรถ

 

รถโดยสารประจำทาง

สามารถไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังฉะเชิงเทราได้ 2 แห่งคือ หมอชิตและเอกมัย ไปยังปลายทางสถานีขนส่งจังหวัดฉะเชิงเทรา จากนั้นก็ต่อรถสองแถวประจำทางเพื่อเดินทางต่อไปยังวัดหลวงพ่อโสธร

วัดหลวงพ่อโสธรเปิดให้เข้าเยี่ยมชมวัดและสักการะหลวงพ่อโสธร ทุกวันโดยไม่มีวันหยุด วันธรรมดาเปิดให้เข้าตั้งแต่เวลา 7.00-16.30 น. ส่วนวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์เปิดให้เข้าตั้งแต่เวลา 7.00-17.00 น.

 

ทั้งหมดนี้เป็นประวัติ วัดหลวงพ่อโสธร ประวัติ และสิ่งที่น่ารู้ของวัดหลวงพ่อโสธรที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดฉะเชิงเทราและทั่วประเทศ เป็นพระอารามหลวงที่มีความสวยงามของศิลปะและสถาปัตยกรรมที่มีความร่วมสมัย ที่หากมีโอกาสควรมาเยือนเพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อโสธรที่มีความศักดิ์สิทธิ์และชมพระอารามที่มีความสวยงามและสูงค่าด้วยงานศิลปะที่หาสิ่งใดมาเทียบเคียงได้ยาก

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

 
 
 

Product added!
The product is already in the wishlist!
Removed from Wishlist

The product has been added to your cart.

Continue shopping View Cart

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ปุ่ม ตั้งค่า 

ยอมรับทั้งหมด Accept Required Only