ผ้าไตรจีวร คืออะไร เลือกอย่างไรให้เหมาะสม

ผ้าไตรจีวร การทำบุญด้วย ผ้าไตร หรือ ผ้าไตรจีวร นับเป็นการทำบุญที่สร้างกุศลให้กับผู้ที่ได้ถวายเป็นอย่างดียิ่ง

แต่รู้หรือไม่ว่า ในสมัยพุทธกาลนั้น พระสงฆ์มิได้ใช้ผ้าไตรเป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับพระสงฆ์

และความสำคัญของผ้าไตร คืออะไร

วันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับผ้าไตรจีวรในพระพุทธศาสนา ให้มากขึ้นกันค่ะ

นิพพานกิฟ ของชำร่วย จำหน่ายของชำร่วย ราคาส่ง ราคาถูก Snack Box งานศพ อาหารว่างงานศพ ของชำร่วยงานศพ ของชําร่วยงานฌาปนกิจ

 

ผ้าไตรจีวร คือ

ผ้าไตร คือ – ผ้าไตรหรือผ้าไตรจีวร คือ ผ้าที่พระสงฆ์ใช้ในการนุ่งหรือครอง เพื่อปกปิดร่างกาย ซึ่งผ้าไตรนี้เป็นเครื่องนุ่งห่มที่มีความสำคัญมากของพระสงฆ์ มีลักษณะเป็นผ้าเหลือง

พุทธศาสนิกชนมักเรียกติดปากว่า “ผ้าไตรจีวร” หรือ “ผ้าจีวร”

การที่เรียกว่า “ผ้าไตร” มาจาก ไตรที่แปลว่า “สาม” เพราะชุดผ้าไตรที่พระสงฆ์ใช้ประกอบด้วยผ้าจำนวน 3 ชิ้น คือ จีวร สบงและสังฆาฏิ

โดย ไตรจีวร เป็นปัจจัยพื้นฐานหรือบริขารของพระสงฆ์ที่มีความจำเป็น 1 ใน 8 อย่าง หรือที่เรียกว่า “อัฐบริขาร”

นอกจากนี้ “จีวร” ยังหมายถึง ผ้าห่มของพระสงฆ์ โดยจีวรที่มีความหมายว่าผ้าห่มอย่างเดียว มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อุตราสงค์”

 

ผ้าไตรจีวร ภาษาอังกฤษ, ผ้าไตร ภาษาอังกฤษ คือ set of Buddhist monk’s robes

the three robes of a Bhikkhu, consisting of the under, the upper, and the outer robes; Triple Robe.

the three clothes of a Buddhist monk – a robe, an extra robe, and a sarong

 

ประวัติความเป็นมาของผ้าไตรจีวร

สมัยครั้งพุทธกาล หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเผยแพร่พระพุทธศาสนา และมีผู้เลื่อมใสเข้ามาอุปสมบทเป็นจำนวนมาก

ในครั้งนั้นพระสงฆ์ไม่ได้รับอนุญาตให้รับการถวายผ้าเป็นผืนสำหรับมาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม แต่ให้ใช้ผ้าที่เก็บได้ ไม่ว่าจะเป็นพื้นเล็กหรือพื้นใหญ่ สกปรกหรือสะอาด นำมาเย็บต่อกันจนกลายเป็นผ้าที่สามารถนุ่งได้

ตามหลักฐานที่ปรากฏใน พระคัมภีร์อุปาลีเถราปทาน ได้กล่าวไว้ว่า “บุคคลเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่ (แม้) เปื้อนอุจจาระที่ถูกทิ้งไว้ตามถนนหนทาง ก็ควรประนมมือไหว้ผ้านั้น อันเป็นธงชัยของพระอริยเจ้า ด้วยเศียรเกล้า”

และด้วยเหตุนี้ทำให้จีวรในสมัยพุทธกาลถือเป็นสิ่งของหายาก และเกิดมีการลักขโมยจีวรเกิดขึ้น

เนื่องจากในสมัยพุทธกาลนั้น เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มถือเป็นสิ่งหายาก การจะทอผ้าได้สักผืน ถือเป็นงานยากและต้องใช้เวลานาน

เมื่อพระพุทธเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นนาของชาวมคธ พระองค์ได้มีพระพุทธดำริให้พระสงฆ์สามารถตัดผ้าจีวรเป็นผ้าสี่เหลี่ยมขนาดเล็กนำมาต่อกัน

ทำให้ผ้าที่เย็บออกมามีลักษณะเป็นผ้าที่เศร้าหมอง เป็นผ้าที่เมื่อผู้อื่นเห็นแล้ว ไม่มีความต้องการนำผ้านี้ไปใช้อีก

ของที่ผู้อื่นไม่ต้องการถือเป็นของที่เหมาะสมกับสมณะเพศที่ละซึ่งกิเลศ เพราะไม่มีความโลภ ไม่มีความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นของแบบใดก็สามารถใช้ได้

ซึ่งลายของผ้าที่นำผ้าขนาดสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มารวมกัน เรียกลวดลายแบบนี้ว่า “ลายคันนา”

 

โดยในพระวินัยปิฎกได้ทำการบันทึกถึงที่มาของลายจีวรคันนาไว้ว่า

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อานนท์เธอเห็นนาของชาวมคธ ซึ่งเขาพูนดินเป็นคันนาสี่เหลี่ยม พูนคันนายาวทั้งด้านยาวและด้านกว้าง พูนคันนาคั่นในระหว่างๆ ด้วยคันนาสั้นๆ พูนคันนาเชื่อมกันทาง ๔ แพร่ง ตามที่ซึ่งคันนากับคันนาผ่านตัดกันไปหรือไม่? …เธอสามารถแต่งจีวรของภิกษุทั้งหลาย ให้มีรูปอย่างนั้นได้หรือไม่?”

พระอานนท์ตอบว่า “สามารถ พระพุทธเจ้าข้า”

 

ต่อมาเมื่อองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับ ณ ทักขิณาคีรีชนบท ตามพระพุทธาภิรมย์ จนกระทั่งได้เสด็จกลับมายังพระนครราชคฤห์

พระอานน์ได้ทำการแต่งจีวรสำหรับพระภิกษุเป็นจำนวนหลายรูป ขึ้นเข้าเฝ้าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งกราบทูลว่า “ขอพระผู้มีพระภาค จงทอดพระเนตรจีวรที่ข้าพระพุทธเจ้าแต่งแล้ว พระพุทธเจ้าข้า”

ในครั้งนั้น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทำธรรมิกถา ซึ่งเป็นเหตุแรกที่เกิดขึ้น แล้วรับสั่งกับพระภิกษุทั้งหลายที่ได้เข้าเฝ้าในครั้งนั้นว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์เป็นคนฉลาด อานนท์ได้ซาบซึ้ง ถึงเนื้อความแห่งถ้อยคำที่เรากล่าวย่อ ได้โดยกว้างขวาง …จีวรจักเป็นผ้าที่ตัดแล้ว เศร้าหมองด้วยศัสตรา สมควรแก่สมณะ และพวกศัตรูไม่ต้องการ”

 

ซึ่งในกาลครั้งที่พระอานนท์ได้ถวายจีวรที่ผ่านการตัดแต่งให้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรแล้ว พระองค์ทรงมีความพอพระทัยในจีวรที่ตัดแต่งออกมา

และได้ประทานอนุญาตให้พระภิกษุสามารถใช้ผ้า 3 ผืน คือ สังฆาฏิชั้นเดียว จีวร และสบง เป็นเครื่องนุ่งห่มสำหรับพระภิกษุ

โดยในเวลาต่อมาได้ทรงอนุญาตให้สามารถใช้ผ้าสังฆาฏิสองชั้นแทนผ้าสังฆาฏิชั้นเดียว เพื่อเป็นการป้องกันความหนาวเย็นของอากาศ

พร้อมทั้งได้กล่าวอีกว่า พระภิกษุไม่ควรใช้จีวรมากกว่า 3 ผืนนี้ หากพระภิกษุรูปใดมีจีวรมากกว่า 3 ผืนถือว่าเป็นการผิดวินัยและอาบัติ

 

สำหรับพระภิกษุที่มีจีวรมากเกินกว่า 3 ผืน หรือที่เรียกว่า “อติเรกจีวร” ที่หมายถึง จีวรที่มีเกินจำนวนกำหนดของพระวินัย ซึ่งผ้าอติเรกจีวรนี้พระภิกษุสามารถถือครองจีวรนี้ได้ไม่เกิน 10 วัน

แต่หากต้องการถือครองเกิน 10 วันจะต้องทำให้เป็นจีวรที่เรียกว่า “วิกัปอติเรกจีวร” โดยการทำให้จีวรชุดนั้นมีเจ้าของมากกว่า 1 รูป หรือมีพระภิกษุที่ถือครองผ้าจีวรนี้สองรูป เป็นการป้องกันไม่ให้ผิดพระวินัย

เหตุที่ทำให้เกิดวิกัปอติเรกจีวร เนื่องจากพระอานนท์ต้องการที่จะถือครองผ้าจีวรไว้ให้กับพระสารีบุตร ซึ่งอยู่ยังเมืองอื่นที่ห่างออกไปไกล โดยต้องใช้เวลาในการเดินทางมากกว่า 10 วัน ซึ่งทำให้พระอานนท์ต้องถือครองจีวรนานกว่ากำหนดของพระวินัย และได้ทูลถามองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะต้องทำเช่นไรถึงจะไม่ผิดพระธรรมวินัย

องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงได้ให้คำแนะนำให้พระอานนท์ทำผ้าอติเรกจีวรดีให้เป็นวิกัปอติเรกจีวร เพื่อที่พระอานนท์จะได้ถือครองผ้าจีวรนานมากกว่า 10 วันและสามารถนำไปมอบให้กับพระสารีบุตรได้

 

ผ้าไตรจีวร ประกอบด้วย

ผ้าไตร ประกอบด้วย – เมื่อกล่าวถึง ผ้าไตร หรือ ผ้าไตรจีวร ถือเป็นบริขารที่จำเป็นของพระสงฆ์ ซึ่งผ้าไตรจีวรประกอบด้วย ผ้า 3 ชิ้น ดังนี้

 

1. อุตราสงค์หรือจีวร

คือ ผ้าผืนที่พระสงฆ์ใช้สำหรับห่มภายนอก เป็นผ้าที่อยู่ด้านนอกสุดเวลาที่พระสงฆ์ถือครองผ้า เวลาประกอบกิจของสงฆ์ ด้วยเหตุนี้คนทั่วไปจึงเรียกผ้าครองของพระสงฆ์ว่า “จีวร” เพราะเป็นผ้าที่เห็นมากที่สุด

 

2. อันตรวาสกหรือสบง

คือ มีลักษณะเป็นผ้าสี่เหลี่ยมทำหน้าที่ในนุ่งด้านในของพระสงฆ์ โดยเป็นผ้าช่วยปกปิดอวัยวะช่วงล่างของพระสงฆ์ ผ้าอันตรวาสกนี้จะต้องเป็นผ้าที่มีความหนาและทนทาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขาดในขณะที่ทำการสวมใส่ เพราะที่บริเวณนี้ได้รับการเสียดสีมากกว่าผ้าชนิดอื่น

 

3. สังฆาฏิหรือผ้าสังฆาฏิ

คือ ผ้าพาดบ่าหรือผ้าที่ใช้นุ่งซ้อนทับบนจีวรอีกครั้ง ในครั้งอดีตผ้าสังฆาฏิจะมีไว้ห่มทับจีวรอีกชั้น เพื่อป้องกันความหนาวเย็นของอากาศ ทว่าในปัจจุบันในไทยมีสภาพอากาศที่ร้อน จึงนำมาห่มหรือพับและวางทาบไว้บนบ่า เพื่อความเรียบร้อยและความเป็นระเบียบของพระสงฆ์เวลาที่ทำกิจของสงฆ์ เช่น การออกไปบิณฑบาต การรับกิจนิมนต์งานทำบุญ เป็นต้น

 

ดังนั้น การถวายผ้าไตรจีวรก็คือ การถวายผ้าทั้ง 3 ชนิดดังที่ชี้แจงให้ทุกท่านได้ทราบด้านบนนั่นเอง

 

ผ้าไตรจีวรทำจากผ้าอะไร

ในสมัยพุทธกาล ผ้าที่นำมาทำจีวรสามารถทำได้ทุกชนิด ขึ้นอยู่กับว่าพระสงฆ์เจอผ้าชนิดใดที่ถูกทิ้งไว้ หรือขึ้นอยู่กับการถวายของผู้มีจิตศรัทธานำมาถวาย มีทั้งผ้าที่เป็นเนื้อละเอียดและผ้าที่เป็นเนื้อหยาบปะปนกัน

ด้วยเหตุนี้ ทำให้พระภิกษุบางส่วนเกิดความสับสน ว่าผ้าชนิดใดกันแน่ที่สามารถนำมาทำเป็นผ้าจีวรได้ จึงได้นำความไปสอบถามองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า

ในครั้งนั้น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทำการอนุญาตจีวรจำนวน 6 ชนิด คือ

  1. โขมะ คือ ผ้าที่ทำจากเปลือกไม้หรือผ้าเปลือกไม้
  2. กัปปาสิกะ คือ ผ้าที่ทำจากฝ้ายหรือผ้าฝ้าย
  3. โกเสยะ คือ ผ้าที่ทำจากเส้นไหมหรือผ้าไหม
  4. กัมพล คือ ผ้าที่ทำจากขนสัตว์ชนิดต่าง ๆ หรือผ้าขนสัตว์
  5. สาณะ คือ ผ้าที่ทำจากเส้นป่านหรือผ้าป่าน
  6. ภังคะ คือ ผ้าที่ทำจากวัสดุในข้อใดตั้งแต่ข้อ 1-5 นำมาผสมกัน

ไม่ว่าเป็นผ้าชนิดใดใน 6 ชนิดนี้ ทั้งการเก็บได้หรือมีการนำมาถวาย สามารถนำมาทำเป็นจีวรได้ทั้งสิ้น

 

อุปกรณ์ที่สามารถนำมาใช้ในการทำผ้าไตรจีวร

ในสมัยพุทธกาล วัสดุที่ใช้ในการเย็บผ้ามีอยู่ด้วยกันหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีลักษณะและราคาที่ต่างกัน มีทั้งที่ราคาสูงและราคาต่ำ และลักษณะของผ้าที่ได้มีขนาด รูปร่างที่ต่างกัน

ดังนั้น องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงอนุญาตให้พระภิกษุสามารถให้ทำการเย็บผ้าจีวรได้ดังนี้

  1. ผ้าบังสุกุลหนัก จึงทรงอนุญาตให้เย็บดามด้วยด้าย
  2. มุมไม่เสมอ สามารถเจียนมุมออกเพื่อให้มุมเสมอกันได้
  3. ด้ายลุ่ย สามารถทำการตัดด้ายที่รุยออกได้
  4. แผ่นผ้าสังฆาฏิลุ่ย สามารถเย็บตะเข็บเป็นตาหมากรุกได้
  5. เมื่อสงฆ์ทำจีวรให้ภิกษุรูปหนึ่ง ผ้า 2 ผืนไม่ตัด ผืนหนึ่งต้องตัด ผ้าก็ยังไม่พอ สามารถให้เพิ่มผ้าเพลาะ
  6. อนุญาตให้สามารถสละจีวรให้แก่มารดาบิดาได้เท่านั้น
  7. ภิกษุมีแต่อุตราสงค์ (จีวร) กับอัตราวาสก (สบง) ไม่สามารถเดินทางหรือเข้าไปร่วมกิจนิมนต์ใดได้

ที่กล่าวมานี้เป็นข้อที่สามารถปฏิบัติได้ของพระสงฆ์เกี่ยวกับจีวรที่นำมาใช้ ในสมัยพุทธกาล ซึ่งในปัจจุบันก็ยังยึดหลักดังกล่าวแต่มีการปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยและความสะดวกของผู้ใช้งานด้วย

 

สีที่สามารถทำผ้าไตรจีวรได้

เนื่องจากผ้าในสมัยพุทธกาลที่พระภิกษุสามารถนำมาใช้เป็นจีวรได้ จะต้องเป็นผ้าที่ได้รับการบริจาคหรือผ้าที่ทิ้งไว้ ทำให้ผ้าที่พระภิกษุนำมาทำเป็นจีวรมีหลายสีด้วยกัน และผ้าจีวรมีสีที่ต่างกันตามวัสดุที่นำมาใช้ในการทอหรือผลิตเป็นผืนผ้า

ผ้าบางชนิดมีสีขาว ผ้าบางชนิดมีสีตุ่น หรือมีสีสันสดใส และยังมีสีที่ไม่สามารถนำมาใช้เย็บเป็นจีวรได้ คือ สีเขียวล้วน, เหลืองล้วน, แดงล้วน, สีบานเย็นล้วน, ดำล้วน, สีแสดล้วนและชมพูล้วน

ดังนั้น หากได้ผ้าที่สีดังกล่าวมาจะต้องนำมาย้อมเสียก่อนจึงจะนำมาใช้ได้

ด้วยเหตุนี้ เพื่อความเป็นระเบียบของพระภิกษุจึงได้มีการให้นำจีวรที่มีอยู่มาย้อมสีได้

โดยสีที่สามารถนำมาย้อมจีวรได้ จะต้องทำจากวัสดุ 6 ชนิด คือ รากไม้, ลำต้นไม้, เปลือกไม้, ใบไม้, ดอกไม้และผลไม้

นอกจากนั้นยังทรงอนุญาตให้สามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆในการย้อม คือ หม้อต้มน้ำย้อม, ตะกร้อสำหรับกันน้ำล้น, กระบวยสำหรับตักน้ำ, อ่างกับรางสำหรับย้อม เพื่อนำมาย้อมผ้าจีวรและอุปกรณ์สำหรับซักผ้า คือ ไม้สำหรับซักจีวร ราวตากจีวร ซึ่งวิธีการตากจีวรจะต้องทำการผูกมุมจีวรแล้วจึงทำการตาก

 

 

สีผ้าไตรจีวร ในปัจจุบัน

ปัจจุบันนี้ ไตรจีวรหรือจีวรของพระสงฆ์ไม่จำเป็นต้องหาจากผ้าที่ทิ้งแล้ว แต่เป็นพุทธศาสนิกชนหรือญาติโยมนำไปถวาย เพื่อสร้างความเป็นกุศลให้ตนเอง ครอบครัวและดวงวิญญาณทั้งหลาย

ซึ่งสีของจีวรที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีดังนี้

  1. สีส้มเหลืองหรือจีวรสีส้มเหลือง เป็นสีจีวรที่ใช้เฉพาะมหานิกาย
  2. สีพระราชทาน เป็นสีจีวรที่ใช้กับพระสงฆ์ในวัดทั่วไป วัดสายธรรมยุต
  3. สีแก่นขนุน เป็นสีจีวรที่ใช้ของพระกรรมฐาน
  4. สีแก่นขนุนเข้ม เป็นสีจีวรที่ใช้กับพระสายกรรมฐานทางภาคอีสาน
  5. สีกรักดำ เป็นสีจีวรที่ของพระธุดงค์หรือพระทางภาคเหนือ พระคูบา

 

 

ขนาดผ้าไตรจีวร

ขนาดจีวรพระ การเลือกขนาดของผ้าไตรจีวร – ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุเป็นผู้ที่ตัดเย็บจีวรด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่ได้มีการกำหนดขนาดของจีวรไว้เป็นมาตรฐาน พระภิกษุจะตัดเย็บตามขนาดตัวของตน

ทว่าปัจจุบันนี้ เพื่อความสะดวกของผู้ซื้อ ผู้ผลิตจีวรจึงได้มีการกำหนดขนาดมาตราฐานของจีวร ขนาดจีวร ไว้ในการเลือกซื้อไว้ ตามความสูงและขนาดตัวของพระสงฆ์ ดังนี้

1. พระภิกษุที่สูงไม่เกิน 160 ซม. ควรใช้ขนาดความสูง 190 ซม. กว้าง 320 ซม.

2. พระภิกษุที่สูง 160 – 170 ซม. ควรใช้ขนาดความสูง 200 ซม. กว้าง 320 ซม.

3. พระภิกษุที่สูง 170 – 180 ซม. ควรใช้ขนาดความสูง 210 ซม. กว้าง 320 ซม. เป็นขนาดมาตรฐานที่สามารถใช้ได้ทุกความสูง หากไม่ทราบขนาดความสูงหรือการซื้อไปถวายแบบไม่เจาะจงตัวบุคคล

4. พระภิกษุที่สูง 180 ซม.ขึ้นไปหรือมีรูปร่างสูงใหญ่ ควรใช้ขนาดความสูง 220 ซม. กว้าง 320 ซม.

นอกจากจีวรที่มีขนาดเป็นมาตรฐานแล้ว ยังมีการสั่งตัดจีวรตามขนาดของพระสงฆ์ให้เหมาะสมกับขนาดตัวด้วย

แต่การตัดเย็บจีวรไม่เป็นที่นิยม เพราะถือเป็นการเจาะจงและไม่ละซึ่งกิเลส

นิยมสั่งตัดขนาดของจีวร สำหรับพระสงฆ์ที่มีขนาดตัวใหญ่มากกว่าคนทั่วไป ทำไม่สามารถใส่จีวรขนาดมาตรฐานทั่วไปได้ จึงจำเป็นต้องสั่งตัดเท่านั้น

 

 

ซื้อผ้าไตรจีวร

หลักการเลือกผ้าไตรจีวร ควรคำนึงถึงอะไรบ้าง?

การเลือกซื้อ ผ้าไตรจีวร สำหรับถวายพระในปัจจุบันนี้ มีหลักการเลือกเพื่อให้เหมาะสมกับพระสงฆ์และสถานที่บวชของพระ

ซึ่งหลักการเลือกผ้าไตรจีวร มีดังนี้

 

1. สีของจีวร

ปัจจุบันนี้วัดแต่ละพื้นที่และแต่ละวัดจะมีสีของจีวรที่ใช้โดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีกฎตายตัวว่าต้องใช้สีจีวรที่เหมือนกันเท่านั้นจึงจะสามารถจำพรรษาอยู่ในวัดได้ แต่เพื่อความเป็นระเบียบและความสามัคคีของพระสงฆ์ภายในวัดแล้ว ควรเลือกใช้สีของจีวรให้ตรงกับสีที่พระสงฆ์ในวัดใช้กันอยู่ โดยสามารถสอบถามหรือสังเกตจากสีของจีวรพระสงฆ์ โดยเฉพาะวัดในเมืองที่มีความเคร่งครัดด้านการปฏิบัติของพระสงฆ์ควรเข้าไปสอบถามเจ้าอาวาสหรือพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่ในการดูแลกฎของวัด

 

2. ขนาดของจีวร

ขนาดของจีวรที่นำมาถวายพระสงฆ์มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

 

2.1 การถวายเฉพาะตัวบุคคล

การเลือกผ้าไตรจีวรสำหรับนำมาถวายพระสงฆ์รูปใดรูปหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ผ้าไตรใช้ในงานบวช การถวายผ้าไตรเป็นสังฆทานให้พระสงฆ์เป็นการส่วนตัว เป็นต้น การเลือกจีวรแบบนี้ควรทราบถึงขนาดความสูงและน้ำหนักของพระสงฆ์ที่ต้องการถวายให้ เพื่อจะได้เลือกขนาดของจีวรให้เหมาะสม

2.2 การถวายไม่เจาะจงตัวบุคคล

การเลือกผ้าไตรจีวรสำหรับนำไปถวายพระสงฆ์แบบที่ไม่ได้เจาะจงตัวบุคคล เช่น การถวายสังฆทาน การถวายผ้าป่า เป็นต้น การเลือกผ้าไตรแบบนี้สามารถเลือกใช้ได้ทุกขนาด แต่เพื่อควรเลือกขนาดที่เป็นมาตรฐานที่พระสงฆ์ไม่ว่าจะมีความสูงหรือขนาดเท่าใดก็สามารถใส่ได้ ขนาดที่นิยมซื้อมาถวายแบบนี้ คือ ขนาดความสูง 210 ซม. กว้าง 320 ซม.

 

3. ชนิดของผ้าไตร

ปัจจุบันผ้าที่นำมาใช้ในการทำผ้าจีวรมีให้เลือกหลายชนิด ซึ่งผ้าแต่ละชนิดล้วนมีคุณสมบัติต่างกันออกไป ซึ่งผ้าจีวรที่ได้รับความนิยมใช้กันมีดังนี้

 

3.1 ผ้ามัสลิน

ผ้าไตรจีวรที่ทำจากผ้าลิสมันมีมีคุณสมบัติดูดซับเหงื่อและระบายอากาศได้ดีมาก เนื้อผ้ามีความอ่อนนุ่มปานกลาง ทิ้งตัวได้ดี มีน้ำหนักปานไม่ระคายเคือง เป็นผ้าที่เหมาะกับสภาพภูมิอากาศร้อน ชื้น ที่ทำให้พรสงฆ์มีเหงื่อออกมาก แต่ว่าผ้ามัสลินมีดูดซับเหงื่อได้ดี ทำให้มีกลิ่นเหม็นเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่มีอากาศชื้นอยู่ตลอดเวลา หากทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ

 

3.2 ผ้าโทเร

ผ้าโทเรเป็นผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติผสมกับส้นใยสังเคราะห์โดยใช้เส้นใยโพลีเอสเตอร์ประมาณ 65% และเส้นใยธรรมชาติเป็นเส้นใยฝ้าย 35% ผ้าเทโรมีลักษณะบางเบา ระบายอากาศอากาศได้ดี ทนทานต่อการขีดข่วน ฉีกขาด คงรูปได้ดี ดูแลรักษาได้ง่าย เนื่องจากมีเส้นใยสังเคราะห์ผสมในอัตราส่วนเกินครึ่ง แต่ซับน้ำได้ไม่ดี เวลาสวมใส่จึงไม่ช่วยซับเหงื่อ

 

3.3 ผ้าฝ้าย

ผ้าฝ้ายเป็นผ้าที่นิยมนำมาทำเป็นผ้าจีวรสำหรับพระสงฆ์ที่อยู่ในภาคเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น เพราะว่าจีวรผ้าฝ้ายมีความหนาให้ความอบอุ่นได้ดี หริพระธุดงค์ที่ต้องเดินทางไปที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในป่าที่มีอากาศหนาวเย็น แต่ว่าผ้าชนิดนี้ยับง่าย และทำความสะอาดค่อนข้างยาก

 

3.4 เนื้อผ้าชนิดอื่น ๆ

นอกจากจีวรที่ผลิตจากผ้า 3 ชนิดข้างต้นที่พบได้บ่อยแล้ว ยังมีจีวรที่ผลิตจากผ้าชนิดอื่น เช่น ผ้าเปลือกไม้, ผ้าฝ้าย, ผ้าไหม, ผ้าขนสัตว์, ผ้าป่าน และเส้นใหญ่ผสม เป็นต้น ซึ่งจีวรแบบนี้จะเป็นจีวรที่ทำขึ้นใช้เฉพาะพื้นที่เท่านั้น เช่น ในพื้นที่หนาวเย็นจัด ๆ จะใช้จีวรขนสัตว์ เป็นต้น

 

นี่เป็นหลักการเลือกจีวรที่นำมาใช้ในการถวายพระสงฆ์ ซึ่งการเลือกควรเลือกให้เหมาะสม เพื่อให้พระสงฆ์ได้รับผ้าไตรจีวรพระที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง npg ทำให้การถวายผ้าไตรจีวรไม่ว่าจะเป็นแบบเจาะจงตัวบุคคล หรือแบบไม่เจาะจงตัวบุคคล ย่อมเป็นการทำทานที่สร้างกุศลให้ผู้ทำอย่างแท้จริง

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

 
 
 

Product added!
The product is already in the wishlist!
Removed from Wishlist

The product has been added to your cart.

Continue shopping View Cart

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ (Cookies) เพื่อจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานเว็บไซต์ คุณสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ปุ่ม ตั้งค่า 

ยอมรับทั้งหมด Accept Required Only