การใส่บาตร กรวดน้ำ ใส่บาตรตอนเช้า – การอุทิศบุญให้กับผู้ล่วงลับ หรือญาติทุกคนภายในตระกูลที่จากไปแล้ว เป็นเรื่องที่คนไทยต่างก็ยึดถือและทำกันมาอย่างยาวนาน บทกรวดน้ํา หลังใส่บาตร <–คลิกอ่าน บทกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ <–คลิกอ่าน บทกรวดน้ํา แบบย่อ <–คลิกอ่าน บทกรวดน้ํา อิทังเม <–คลิกอ่าน วิธีกรวดน้ำ หลังใส่บาตร ที่ถูกต้อง <–คลิกอ่าน เวลากรวดน้ำ ต้องพูดอะไร <–คลิกอ่าน วิธีใส่บาตรให้ผู้ล่วงลับ <–คลิกอ่าน ใส่บาตรให้ผู้ล่วงลับจะได้รับ ไหม <–คลิกอ่าน แม้จะเป็นเพียงความเชื่อ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพราะเปรียบเสมือนการได้ส่งบุญ, อาหาร และสิ่งของต่างๆ ไปสู่คนที่เรารักในอีกโลกหนึ่ง ทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสุขมากขึ้น ดังนั้นถ้าคุณกำลังมองหาความรู้เกี่ยวกับการอุทิศบุญและการทำบุญให้ผู้ที่ล่วงลับอย่างถูกต้อง ข้อมูลในบทความนี้เราได้รวบรวมไว้ให้คุณได้ศึกษาทำความเข้าใจอย่างครบถ้วนแล้วค่ะ ประวัติความเป็นมาของการอุทิศบุญให้ผู้ล่วงลับ การอุทิศบุญหรืออุทิศส่วนกุศล ถือเป็นหนึ่งในพิธีกรรมทางศาสนา ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยพระเจ้าพิมพิสารที่ได้ทำการอุทิศส่วนกุศลด้วยการใช้น้ำ เพราะในอดีตพระเจ้าพิมพิสารนับถือศาสนาพราหมณ์ที่กำหนดให้ผู้รับของต้องแบมือรับแล้วใช้น้ำรดลงบนมือ พระองค์จึงชินต่อการใช้ประเพณีของศาสนาพราหมณ์ เมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าและต้องทำการอุทิศส่วนกุศลจึงเลือกใช้วิธีการนี้ แต่ด้วยความที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ไม่ยึดติดและเดินทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) พร้อมได้เห็นถึงความตั้งใจที่พระเจ้าพิมพิสารต้องการอุทิศบุญให้กับผู้ล่วงลับ จึงไม่ได้มีการห้ามแต่อย่างใด เพราะในพุทธศาสนาการอุทิศส่วนกุศลไม่จำเป็นต้องใช้น้ำแต่ใช้เป็นเพียงแค่การอธิษฐานจิตแบบสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถส่งบุญกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วได้ ดังนั้นนั่นเอง
รู้ไหมว่าการฝังศพตั้งแต่ยุคเริ่มแรก จนถึงปัจจุบันนั้น มีการวิวัฒนาการมาแล้วหลากหลายวิธี ซึ่งในแต่ละยุคก็จะมีความแตกต่างกันไป ตามความเชื่อและวัฒนธรรมที่รับเอามาจากชาติอื่นในยุคนั้นๆ ด้วย โดยเราจะพาคุณไปดูกันว่า พิธีกรรมศพ การฝังและเผาศพตั้งแต่ยุคเริ่มแรกมาจนถึงทุกวันนี้เป็นอย่างไร การฝังศพในยุคแรก เมื่อ 5,000 ปีมาแล้ว หรือบางแห่งก็อาจจะฝังไว้ตรงลานกลางบ้าน โดยจะมีการจัดท่าทางของศพให้นอนราบเหยียดยาวไปบนพื้น ไม่งอเข่า แต่ทั้งนี้การฝังศพคนตายในยุค 5,000 ปีมาแล้ว จะทำเฉพาะกลุ่มคนที่มีอำนาจ มีบริวาร หรือเป็นกลุ่มคนชั้นนำเท่านั้น ส่วนสามัญชนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการฝังศพได้ เพราะเชื่อกันว่าพิธีกรรมนี้จะต้องทำในกลุ่มคนชั้นสูงเท่านั้น นั่นเอง ฝังศพครั้งที่สอง ต้นเค้าโกศ ในยุค 2,500 ปี เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมาจนเข้าสู่ยุค 2,500 ปีมาแล้ว การฝังศพได้มีการปรับเปลี่ยนไปจากเดิม ตามความเชื่อของคนในยุคนี้ โดยจะมีการฝังศพ 2 ครั้ง “คนตายขวัญหาย ต้องเรียกขวัญ” กล่าวคือครั้งแรกก็จะฝังไว้ใต้ถุนเรือนหรือลานกลางบ้าน เช่นเดียวกับในยุค 5,000 ปีก่อน ซึ่งก็มีการนำเอาข้าวของเครื่องใช้ของคนตายฝังรวมกันไปด้วย เนื่องจากยุคนี้ชาวบ้านเชื่อว่าคนตายเพราะขวัญหาย หากขวัญกลับคืนเข้าร่าง ก็จะฟื้นขึ้นมาได้อีก ซึ่งหลังจากฝังศพจนเนื้อหนังผุไปเหลือแต่กระดูก จะมีการนำเอากระดูก มาใส่ในภาชนะดินเผา
สวดอภิธรรม พิธีสวดศพ หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า พิธีสวดอภิธรรมศพ สวดพระอภิธรรม นับว่าเป็นหนึ่งในประเพณีเก่าแก่ที่สุดในสังคมไทย และถือว่าเป็นพิธีที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เนื่องจาก เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ล่วงลับเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะดำเนินการพระราชทานเพลิงศพหรือฌาปนกิจต่อไปเมื่อเสร็จสิ้นพิธีกรรม สวดอภิธรรม คือ <--คลิกอ่าน ขั้นตอนสวดพระอภิธรรม <--คลิกอ่าน สวดอภิธรรม ใช้พระกี่รูป <--คลิกอ่าน พระสวดอภิธรรม กี่โมง <--คลิกอ่าน พระสวดอภิธรรม กี่นาที <--คลิกอ่าน สวดอภิธรรม กี่วัน <--คลิกอ่าน สวดอภิธรรม ภาษาอังกฤษ <--คลิกอ่าน สวดอภิธรรม เพื่ออะไร <--คลิกอ่าน อย่างไรก็ตาม น้อยคนจะรู้ว่าพิธีกรรมสวดศพนั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เข้ามาในประเทศไทยเมื่อใด และเหตุใดจึงต้องมีลำดับพิธีดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน บทความนี้ จะพาคุณย้อนกลับไปในอดีตเพื่อสืบสาวหาที่มาของพิธีกรรมสวดศพในประเทศไทย รวมถึงตอบคำถามว่าทำไมประเพณีดังกล่าวจึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของสังคมไทย สวดอภิธรรม คือ รู้จักพิธีกรรมสวดศพ งานพิธีกรรมสวดพระอภิธรรมศพในปัจจุบันมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับความเชื่อทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิตที่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ ไม่มีใครสามารถหลบหนีความตายได้ เมื่อถึงวัยอันสมควร ร่างกายที่ประกอบขึ้นด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ
เมรุ หรือ เมรุเผาศพ เมรุเผา เป็นสถานที่ที่ทุกคนไม่มีใครต้องการอยากใช้ หากแต่กลับเป็นสถานที่ที่ทุกคนจะต้องได้ใช้กันอย่างแน่นอน หลังจากละสังขารอำลาโลกนี้ไปแล้ว ซึ่งลักษณะของเมรุเผาศพที่ใช้กันจะมีรูปแบบและมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนมีลักษณะที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน โดยการนำเมรุมาใช้ในงานเผาศพ งานศพ ก็มีประวัติความเป็นมา ประวัติเมรุ และมีความเชื่อที่น่าสนใจดังนี้ เมรุลอย คืออะไร <–คลิกอ่าน เมรุอ่านว่า เมรุ อ่านว่า เมน เมรุมาศ อ่านว่า เม-รุ-มาด เมรุมาศ คําอ่าน เม-รุ-มาด พระเมรุ อ่านว่า พระ-เมน พระเมรุมาศ อ่านว่า พระ-เม-รุ-มาด เมรุ ภาษาอังกฤษ Crematorium พระเมรุมาศ ภาษาอังกฤษ Royal Crematorium พระเมรุมาศ ความเชื่อ ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ มีความเชื่อว่า กษัตริย์เป็นสมมุติเทพ คือ เป็นเทพมาจุติเพื่อช่วยปวงประชาให้รอดพ้นจากภัยอันตรายและอยู่อย่างร่มเย็น ซึ่งที่สิงสถิตของเทพตามความเชื่อก็คือ ยอดเขาพระสุเมรุ ดังนั้นเมื่อกษัตริย์ได้สวรรคตแล้ว เพื่อเป็นการส่งดวงวิญญาณกลับสู่ยอดเขาพระสุเมรุ จึงมีการสร้าง
เหรียญโปรยทาน – เคยสังเกตไหมว่า ในงานบวชจะต้องมีการโปรยทานเสมอ ซึ่งเพราะอะไรในงานบวชจึงต้องใช้เหรียญโปรยทาน และมีวิธีการพับเหรียญโปรยทาน เหรียญโปรยทานงานบวช อย่างไร วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจ และแนะนำไอเดียเก๋ๆ ในการทำเหรียญโปรยทานให้แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร เพื่อที่คุณจะได้นำไปใช้เป็นไอเดียนั่นเอง ความเชื่อ พับเหรียญโปรยทานงานบวช <–คลิกอ่าน เหรียญโปรยทานงานบวช วิธีทํา <–คลิกอ่าน เหรียญโปรยทาน ภาษาอังกฤษ <–คลิกอ่าน ความเชื่อ พับเหรียญโปรยทานงานบวช ทำไมงานบวช ต้องมีเหรียญโปรยทาน มีความเชื่อมาตั้งแต่สมัยโบราณกาลว่า ดังนั้นจึงได้มีการนำเหรียญโปรยทานมาใช้โปรยทานเพื่อเหตุผลดังกล่าวนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า เหรียญโปรยทานที่นาคโปรยนั้นเป็นเงินที่มีความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้เก็บเหรียญโปรยทานเอาไว้ จะได้มีความเจริญรุ่งเรือง ทำมาค้าขึ้น ไม่ว่าจะเก็บไว้ที่บ้านหรือเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ก็ตาม ดังนั้นผู้คนจึงนิยมเก็บเหรียญโปรยทานในงานบวชมาไว้เพื่อความเป็นสิริมงคลของตนเอง เหรียญโปรยทานงานบวชประเพณีนี้มีที่มาอย่างไร เหรียญโปรยทานเอาไปทำอะไรดี . เหรียญโปรยทาน ต้องใช้จำนวนเท่าไหร่ เหรียญโปรยทานที่จะนำมาใช้ในงานบวชหรืองานสำคัญต่างๆ นั้น ไม่กำหนดแน่ชัดว่าจะต้องใช้จำนวนเท่าไหร่ ซึ่งก็แล้วแต่ความสะดวกหรือตามกำลังศรัทธาของคุณเลย เพียงแค่มีจิตใจมุ่งมั่นและบริสุทธิ์ที่จะทำเหรียญโปรยทานขึ้นมา เพื่อโปรยให้แก่แขกเหรื่อที่มาร่วมในพิธีเท่านั้น โปรยทานงานบวช ตอนไหน การโปรยทานในงานบวช จะ
พิมเสนน้ำ เป็นยาหอมที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองคนไทยมาอย่างช้านาน ด้วย โดยจะช่วย เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย เป็นยาหอมสมุนไพรที่ไม่ทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ในร่างกาย พิมเสนน้ํา จึงเป็นต้นแบบของยาดมยาหอมสมัยใหม่ที่หลายคนนิยมพกพาไว้เพื่อสูดดม เพื่อเพิ่มความสดชื่น หรือช่วยให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น พิมเสนน้ํา สรรพคุณ <–คลิกอ่าน พิมเสนน้ํา ภาษาอังกฤษ <–คลิกอ่าน พิมเสนน้ำ คือ <–คลิกอ่าน และวันนี้ เราก็จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ พิมเสนน้ํา มากขึ้น ว่าสมุนไพรชนิดนี้คืออะไร มีสรรพคุณอย่างไร แล้วทำไมจึงกลายมาเป็น ยาดม พิมเสนน้ำ ยอดนิยมที่คนใช้กันทั่วบ้านทั่วเมืองได้ รู้จักพิมเสน สมุนไพรที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ พิมเสนน้ำ คือ – ชนิดหนึ่ง เรียกว่า Dryobalanops Aromatica Gaertn ซึ่งจัดอยู่ในตระกูลยางนา ผ่านกระบวนการระเหิดที่ทำให้ยางของต้นไม้ดังกล่าวมีลักษณะเป็น นอกจากนั้น พิมเสนน้ำจะสามารถสกัดจากต้นการบูรผ่านกระบวนการทางเคมีวิทยาได้อีกด้วย ซึ่งพิมเสนที่ได้จากต้นการบูรนั้นจะระเหิดได้ไวกว่า และติดไฟได้ยากกว่าพิมเสนที่ได้มาจากกระบวนการธรรมชาติจากต้น Dryobalanops เนื่องจากพิมเสนเป็นสารสกัดจากพืชที่อยู่ในวงศ์อบเชยซึ่งขึ้นชื่อด้านความหอม จึงนิยมถูกนำไปใช้ในการทำน้ำหอมหรือสารทำความหอม ตลอดจนสามารถนำไปใช้ทำเป็นตำรับยาสมุนไพร พิมเสนน้ำสมุนไพร รักษาโรคปอด โรคหัวใจ และโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พิมเสน
วัดเทพศิรินทร์ – วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับพระอารามหลวงที่มีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดาแห่งนี้กันมากขึ้น เชื่อว่าเมื่ออ่านบทความนี้จบแล้ว คุณจะต้องอยากชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยว วัดเทพศิรินทราวาส อย่างแน่นอน วัดเทพศิรินทร์ มีกี่ศาลา <–คลิกอ่าน วัดเทพศิรินทร์ mrt สถานีไหน <–คลิกอ่าน ประวัติวัดเทพศิรินทร์ <–คลิกอ่าน ประวัติความเป็นมาของวัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ประวัติวัดเทพศิรินทร์ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร หรือที่หลายคนเรียกสั้น ๆ ว่า ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่ของกรุงเทพมหานคร แต่เริ่มเดิมทีพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระอารามขึ้น เพื่อทรงเฉลิมพระเกียรติ และทรงอุทิศพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีของพระองค์ (มารดา) ของพระองค์ วัดเทพศิรินทร์ดำเนินการก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2419 โดยมี กระทั่งเสร็จสิ้นลงในปี พ.ศ.2421 สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ อาราธนาพระอริยมุนีมาจากวัดบวรนิเวศมายังวัดเทพศิรินทร์ พร้อมทั้งทรงบำเพ็ญพระราชกุศล แล้วประกาศพระราชทานวิสุงคามสีมา และพระราชทานนามอารามแห่งนี้ว่า วัดเทพศิรินทราวาส ตามพระนามแห่งองค์พระราชชนนี หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.2439 สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ท้าวหิรัญพนาสูร เรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับเทพผู้คอยปกปักรักษาและดูแลผู้คนให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ อย่าง “ท้าวหิรัญพนาสูร” หรือ “ท้าวฮู” ยังคงได้รับการกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน เพราะชื่อเสียงของท่านมีมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ที่เหล่าผู้ใกล้ชิดต่างก็รู้กันดีว่าพระองค์ท่านเคารพและบูชาท่านท้าวหิรัญพนาสูรเป็นอย่างมาก ท้าวหิรัญพนาสูร โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ท้าวหิรัญพนาสูร พุทธคุณ <–คลิกอ่าน ท้าวหิรัญพนาสูร คาถา <–คลิกอ่าน ท้าวหิรัญพนาสูร อยู่ที่ไหน <–คลิกอ่าน เพราะถือเป็นเทพผู้มากในสัมมาทิฐิหรือเทพผู้ประพฤติตนดำรงอยู่ภายใต้ความดีงามเสมอ โดยช่วยปกป้องคุ้มครองและกันภัยต่างๆ ที่ไม่ว่าจะเป็นภัยจากภายนอกหรือแม้แต่ภัยภายในอย่างโรคร้ายนานาชนิด อิทธิฤทธิ์ของท่านก็สามารถช่วยบำบัดปัดเป่าให้ผ่อนคลายหายดีจากโรคนั้นๆ ได้อีกด้วย ประวัติของท่านท้าวหิรัญพนาสูร ท้าวหิรัญฮู คือ, ท้าวหิรัญฮู ประวัติ – ท้าวหิรัญพนาสูรถูกจัดให้เป็นเทพผู้ปกปักรักษาและป้องกันภัยต่างๆ ให้แก่บุคคลที่บูชา โดยมีอีกหนึ่งชื่อเรียกว่า “ท้าวหิรัญฮู” ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในช่วงรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 พร้อมการถูกเล่าขานจากคนในอดีตมาจนถึงปัจจุบันเรื่องของการป้องกันภัยในทุกด้านแม้แต่ด้านของสุขภาพ ดังนั้นผู้คนยุคใหม่จึงพากันกราบไหว้และบูชา เพื่อขอให้ท่านท้าวหิรัญพนาสูรกำจัดโรคร้ายต่างๆ ที่เข้ามาภายในชีวิต สำหรับเรื่องของชื่อเสียงท้าวหิรัญพนาสูรใช่ว่าจะเป็น แค่เรื่องร่ำลือ เพราะมีเหตุการณ์จริงที่ถูกบันทึกไว้หลายเหตุการณ์ โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ท่านเคารพบูชาเทวรูปท้าวหิรัญพนาสูร
ฟ้าทะลายโจร ถูกจัดอันดับให้เป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เพราะมีข่าวออกมาเป็นจำนวนมากว่ามีฤทธิ์สามารถต้านเชื้อ Covid-19 โควิด-19 ไม่ให้กระจายเข้าสู่ปอดได้เป็นอย่างดี ฟ้าทะลายโจร กินยังไง <—คลิกอ่าน กินยาฟ้าทะลายโจรกันโควิดได้ไหม <—คลิกอ่าน ฟ้าทะลายโจร งานวิจัย <—คลิกอ่าน ฟ้าทะลายโจร ข้อควรระวัง <—คลิกอ่าน ด้วยสรรพคุณที่โดดเด่นนี้เอง ฟ้าทะลายโจรจึงกลายมาเป็นสมุนไพรเด่นที่มีคนต้องการซื้อใช้เป็นจำนวนมาก จนถึงขั้นขาดตลาดเลยทีเดียว ฟ้าทะลายโจร ไม่ได้มีอยู่แค่เพียงในประเทศไทยแต่เพียงเท่านั้น หากแต่เป็นสมุนไพรท้องถิ่นที่เกิดและเติบโตในประเทศแถบตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะมีมากในประเทศจีน, ประเทศศรีลังกา, ประเทศอินเดีย และประเทศไทย พร้อมการถูกนำไปใช้ประโยชน์ในแต่ละประเทศที่แตกต่างกันออกไป สำหรับประเทศไทยแล้วเป็นหนึ่งในยาบำรุงกำลังและยาฆ่าเชื้อในร่างกายที่ผ่านการวิจัยมาแล้วเป็นอย่างดี ฟ้าทะลายโจร ภาษาอังกฤษ ชื่อสามัญ คือ ฟ้าทะลายโจร แคปซูล Kariyat Capsules ข้อมูลที่น่าสนใจของฟ้าทะลายโจร ฟ้าทะลายโจร คือ – ดังนั้น การรับประทานจึงต้องนำมาผ่านขั้นตอนการบดเป็นผงแล้วใส่แคปซูลเพื่อรับประทาน ใบฟ้าทะลายโจร มีชื่อตามหลักวิทยาศาสตร์ว่า ที่เป็นพืชในวงศ์เดียวกับ Acanthaceae พร้อมการมีชื่อหลากหลายรูปแบบที่ถูกเรียกกันในแต่ละภาค เช่น น้ำลายพังพอน,
ถ้าเอ่ยถึง แอลกอฮอล์ หรือ alcohol ในภาษาอังกฤษ เราอาจนึกไปถึงสองสิ่งด้วยกัน คือ แอลกอฮอล์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาด เช็ดล้างแผล และแอลกอฮอล์ในแบบของเครื่องดื่ม เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ มีกี่ประเภท เมื่อพูดถึงชื่อนี้ทีไรก็มักจะเหมากันไปหมดว่า คือ สุราหรือเหล้า ซึ่งจริง ๆ แล้วสารชนิดนี้แบ่งย่อยออกเป็นหลากหลายประเภท โดยจะมีทั้งชนิดที่ดื่มได้ และชนิดที่ไม่สามารถดื่มได้ เพราะฉะนั้นมาทำความเข้าใจกันให้มากขึ้น ว่าแอลกอฮอล์มีชื่อเรียกอะไรบ้าง สเปรย์แอลกอฮอล์ ของชําร่วย แบบการ์ด แบบตลับ แบบขวด พกพา แอลกอฮอล์สเปรย์ สั่งทำ ราคาส่ง แล้วแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไร รวมไปถึงการผลิตเพื่อให้ได้สารชนิดนี้มา ต้องทำอย่างไร? แอลกอฮอล์ มีกี่ประเภท แอลกอฮอล์ ภาษาอังกฤษ Alcohol แอลกอฮอล์ คือ อะไร นิยามของแอลกอฮอล์นั้นถือว่าเป็นสารเคมีชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในกลุ่มของสารประกอบอินทรีย์ ลักษณะพื้นฐานของสารชนิดนี้คือ เป็นของเหลว แอลกอฮอล์ มีกี่ประเภท แอลกอฮอล์
ไฟฉาย – แสงสว่างเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องการดำเนินชีวิตของมนุษย์มาตั้งแต่ครั้งอดีต โดยเฉพาะในยามตะวันตกดินที่โลกตกอยู่ภายใต้ความมืด มีเพียงแค่แสงจันทร์และดวงดาวเท่านั้นที่คอยช่วยนำทาง ส่วนประกอบของไฟฉาย <–คลิก เหตุนี้ มนุษย์โบราณจึงต้องคิดประดิษฐ์ไฟขึ้นมาเพื่อให้ความอบอุ่น ประกอบอาหาร และนำทางในยามค่ำคืน จากกองฟืนไฟก็กลายเป็นคบเพลิง แล้วในท้ายที่สุดก็มีพัฒนาการมาเป็นไฟฉายในมือเราในปัจจุบัน วันนี้เราจะมาบอกเล่าเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับไฟฉาย ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสิ่งประดิษฐ์ที่มีความซับซ้อนและน่าอัศจรรย์มากที่สุดชิ้นหนึ่งของมนุษยชาติ ประวัติของไฟฉาย นับตั้งแต่มนุษย์รู้จักการใช้ไฟเป็นต้นมา ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์ ไฟได้ถูกนำไปใช้ประโยชน์มากมายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการนำมาสร้างคบเพลิง เทียน ตะเกียงน้ำมัน ซึ่งแม้ว่าจะสามารถใช้งานได้มาจนถึงศตวรรษที่ 19 แต่ก็ยังมีระยะเวลาการใช้งานที่จำกัด และมีผู้ใช้งานหลายคนได้รับอันตรายจากเปลวไฟที่ปะทุออกมาจากน้ำมันก๊าด ด้วยเหตุนี้ นักประดิษฐ์หลายคนจึงพยายามสร้างตัวเลือกในการสร้างสรรค์ไฟส่องสว่างแบบพกพา โดยใช้หลักการของแบตเตอรี่ให้เกิดประโยชน์ กระทั่งในปี ค.ศ.1899 นักประดิษฐ์สัญชาติอังกฤษนาม ได้ผสมผสานหลักการทำงานของแบตเตอรี่เซลล์แห้งที่วางต่อกันภายในกระบอกขนาดเล็ก สามารถควบคุมการทำงานของแบตเตอรี่ด้วยสวิสต์เปิด-ปิด เมื่อเปิดแบตเตอรี่จะทำปฏิกิริยากับหลอดไฟขนาดเล็กด้านในก่อให้เกิดแสงสว่างได้อย่างน่าอัศจรรย์ และเมื่อนั่นเองที่ไฟฉายกระบอกแรกของโลกจึงได้คิดค้นและประดิษฐ์ขึ้นในสหราชอาณาจักร และถูกขนานนามว่า ‘Flash’ (แฟลช) British inventor David Misell, who was living in New York, patented the original flashlight